บทความ คือ ความเรียงที่เขียนขึ้นโดยมีหลักฐานข้อเท็จจริง และในเนื้อหานั้น ผู้เขียนได้แทรกข้อเสนอแนะเชิงวิจารณ์ หรือสร้างสรรค์เอาไว้ด้วย
ลักษณะเฉพาะของบทความ
๑. ต้องเป็นเรื่องที่ผู้อ่านส่วนมากกำลังสนใจอยู่ในขณะนั้น อาจเป็นปัญหาที่คนกำลังอยากรู้ว่าจะดำเนินต่อไปอย่างไร หรือมีผลอย่างไร หรือเป็นเรื่องที่เข้ายุคเข้าสมัย
๒. ต้องมีแก่นสาร มีสาระ อ่านแล้งได้ความรู้ หรือความคิดเพิ่มเติม มิใช่เรื่องเลื่อนลอยไร้สาระ
๓. ต้องมีข้อทรรศนะ ข้อคิดเห็น ตลอดจนข้อเสนอแนะของผู้เขียนแทรกด้วย
๔. มีวิธีเขียนชวนให้อ่าน อ่านแล้วท้าทายความคิด และสนุกเพลิดเพลิน จากความคิดในเชิงถกเถียงโต้แย้งนั้น
๕. เนื้อหาสาระและสำนวนภาษาเหมาะสมสำหรับผู้อ่านที่มีการศึกษาอยู่ในเกณฑ์ดี เพราะผู้อ่านที่มีการศึกษาน้อยนิยมอ่านข่าวสดมากกว่าบทความ
๑. รูปแบบ เรียงความและบทความมีรูปหรือแบบของการเขียนเหมือนกัน คือ มีโครงเรื่องอันประกอบด้วยสามส่วนใหญ่ๆ ได้แก่ คำนำ เนื่องเรื่อง และสรุป หรือคำลงท้าย การตั้งชื่อเรื่องหรือหัวเรื่องอาจเหมือนหรือคล้ายคลึงกัน ส่วนข่าวเป็นการเสนอเรื่องรวมหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง สาระสำคัญของข่าวอยู่ที่ความนำอันเป็นย่อหน้าแรกของการเขียนข่าว ส่วนย่อหน้าต่อ ๆ มา มีความสำคัญลดหลั่นกันลงมาตามลำดับ จนกระทั่งถึงย่อหน้าสุดท้ายอาจตัดทิ้งไปได้ โดยไม่เสียความถ้าเนื้อที่กระดาษจำกัด |
๒. ความมุ่งหมาย บทความนั้นเขียนขึ้นเพื่อเสนอข้อคิดเห็นเกี่ยวกับ เรื่องหรือ เหตุการณ์นั้นๆ ส่วนเรียงความเป็นการเขียนเพื่อ แสดงความรู้เกี่ยวกับหัวข้อเรื่องนั้นแต่เพียงเรื่องเดียว |
๓. เนื้อเรื่อง หัวข้อเรื่องของบทความต้องทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์ อยู่ในความสนใจของผู้อ่านขณะนั้น เวลาผ่านไปเพียงสัปดาห์หนึ่ง หรือมากกว่านั้น ก็อาจล้าสมัยไป ส่วนเรียงความจะหยิบยกเอาเรื่องใด ๆ ทั้งที่เป็นรูปธรรม และนามธรรมเขียนก็ได้ และหัวข้อเรื่องเดียวกันนี้จะเขียนเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ถือว่าล้าสมัย แต่ข่าวมีอายุอยู่ ๒๔ ชั่วโมงเท่านั้น ถ้าเสนอข่าวช้าไปสักวันหรือสองวันก็ไม่น่าสนใจเสียแล้ว |
๔. วิธีเขียน วิธีเขียนเรียงความนั้นใคร ๆ ก็รู้จักวิธีเขียนและเขียนได้ ส่วนมากเป็นการเขียนแบบเรียบๆ ไม่โลดโผน แต่บทความจะต้องมีวิธีเขียนอันชวนให้อ่าน ให้ติดตามเนื้อเรื่อง การเขียนข่าวต้องตอบปัญหา ๕ ข้อ คือ ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ และทำไม ต้องเสนอข่าวเท่าที่เกิดขึ้นจริง เขียนอย่างสั้นและตรงไปตรงมา ไม่มีข้อคิดเห็นของผู้เขียน ไม่มีแม้แต่ชื่อผู้เขียนข่าว ต้องเป็นข่าวสดจริงๆ เป็นการเขียนเพื่อให้ชนทุกชั้นอ่าน และไม่แสดงอารมณ์ ความรู้สึกของผู้เขียน ผู้อ่านจะไม่รู้เลยว่าผู้เขียนเป็นบุคคลชนิดใด รู้สึกนึกคิดอย่างไร |
ประเภทของบทความ
บทความแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ๒ ประเภท คือ บทความเชิงสาระ (Formal Essay) และบทความเชิงปกิณกะ (Informal Essay) บทความเชิงสาระ จะเน้นหนักไปทาง วิชาการ ผู้เขียนต้องการอธิบายความรู้อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นสำคัญ ไม่คำนึงถึงการใช้สำนวนโวหาร หรือความเพลิดเพลินของผู้อ่าน เพราะถือว่าผู้อ่านต้องการปัญญาความคิดกับผู้อ่านบ้าง แต่ต้องถือว่าเป็นความมุ่งหมายรอง เพราะผู้อ่านบทความเชิงปกิณกะพร้อม ๆ กับใช้ความรู้สึกสนุกสนาน เพลิดเพลินแก่ผู้อ่านด้วย
เนื่องจากบทความ เป็นการเขียนที่ยังนับว่าใหม่ วิธีเขียนก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ บทความสมัยนี้ค่อนข้างจะมีลักษณะผสมผสานกันทั้งเชิงสาระและปกิณกะ ถ้าจะแบ่งตามเนื้อเรื่องของบทความแล้ว ยังแบ่งออกไปได้หลายประเภท ดังนี้
๑. บทความแสดงความคิดเห็น เป็นบทความที่ผู้เขียนหยิบยกเอาปัญหาในสังคมนั้นขึ้นมาเขียน เช่น ปัญหาของส่วนรวม ได้แก่ ปัญหาเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง การศึกษา การคมนาคม การโจรกรรม ฯลฯ และปัญหาส่วนบุคคล ได้แก่ การป้องกัน อาชญากรรม การรักษาความปลอดภัยให้ตนเอง การประกันชีวิต ฯลฯ บางครั้งผู้เขียนอาจจะเขียนโต้ตอบบทความที่ผู้อื่นเขียนขึ้นเพื่อแสดงความคิดในแนวหนึ่งแนวใด ปัญหาที่มีข้อขัดแย้งนี้ มักจะมีข้อคิดแตกต่างกันไปเป็นสองแนว คือ ความคิดในแนวยอมรับ และโต้แย้ง ผู้เขียนอาจจะเลือกแสดงความคิดเห็นแนวใดแนวหนึ่งก็ได้ หรือแสดงความคิดเห็นของคนทั่วไปในทุก ๆ ด้านก็ได้ เพื่อปล่อยให้ผู้อ่านพิจารณาตัดสินเอาเอง | |||
๒. บทความประเภทสัมภาษณ์ เป็นบทความที่แสดงความคิดเห็นของบุคคล เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ ผู้เขียนบทความ ควรรู้จัก เลือกบุคคลที่จะสัมภาษณ์ | |||
๓. บทความประเภทกึ่งชีวประวัติ มีลักษณะคล้ายกับบทความประเภทสัมภาษณ์ต่างกันในแง่ที่บทความประเภทสัมภาษณ์ ต้องการแสดงข้อคิดเห็นของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ส่วนบทความเชิงชีวประวัตินั้น ต้องการแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับตัวบุคคลที่ให้สัมภาษณ์ แต่ไม่ได้เน้นที่อัตชีวประวัติ กลับไปเน้นที่ความสามารถและคุณสมบัติพิเศษที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่กว่าบุคคลทั่วไป เขามีวิธีการในการดำรงชีวิต ตลอดจนการปฏิบัติตนอย่างไร เรื่องชีวประวัติเป็นสิ่งสำคัญรองลงมา ข้อมูลที่เก็บมาเขียนนั้นอาจจะได้จาก การสัมภาษณ์บุคคลนั้นเองแล้ว อาจได้มาจากการสอบถามบุคคลแวดล้อม ซึ่งมีทั้งญาติมิตร และศัตรู ตลอดจนเอกสารและผลงานต่างๆ ที่เขาเคยสร้างสมไว้ เราจะไม่พูดถึงเรื่องราวส่วนตัวมากเกินไป เพราะไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นการเขียนชีวประวัติบุคคลสำคัญ | |||
๔. บทความประเภทคำแนะนำ เป็นบทความที่ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือ อธิบายวิธีการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ในการเขียนควรเลือกเรื่องที่ดึงดูดความสนใจ และผู้อ่านสามารถทำความเข้าใจ ตลอดจนปฏิบัติตามได้ไม่ยาก หัวข้อที่จะเลือกมาเขียนมีกว้าง เช่น เรื่องเกี่ยวกับปัจจัย เป็นต้นว่า | |||
๕. บทความประเภทให้แง่คิด โน้มน้าวใจหรือกระตุ้นให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้เขียนอาจเขียนอย่างตรงไปตรงมา หรือเขียนในเชิงอุปมาอุปไมยก็ได้ การเขียนเชิงอุปมาอุปไมยนั้นจะเขียนถึงสิ่งอื่นผูกเป็นเรื่องราวต่อเนื่องกันโดยตลอด ข้อความทั้งเรื่องจะแทนความคิดที่ต้องการให้ผู้อื่นทราบ เช่น กล่าวถึงสัตว์ฝูงหนึ่ง แต่เดิมเคยอยู่เป็นสุขรักใคร่สามัคคีกัน ต่อมาเกิดทะเลาะวิวาทกันแยกตัวไปอยู่ที่อื่นเป็นจำนวนมาก ไม่ช้านักสัตว์ฝูงนั้นก็ถูกสัตว์ฝูงอื่นรักแก ล้มตายหมดสิ้น เรื่องทั้งหมดนี้เป็นการแทนความคิดของผู้เขียนที่จะใช้ชี้ให้เห็นโทษของการแตกความสามัคคี เรื่องที่นำมาเขียนอาจเป็นการให้แง่คิดทั่วไป เช่น การประหยัด การทำตนเป็นพลเมืองดี ความรักชาติ ฯลฯ | |||
๖. บทความประเภทท่องเที่ยวเดินทาง สมัยนี้การท่องเที่ยวชมภูมิประเทศหรือสถานที่แปลกๆ ใหม่ ๆ มีผู้นิยมกันมากขึ้นทั้งในและนอกประเทศ เป็นการเปิดหูเปิดตา เป็นการทัศนศึกษาไปในตัว บทความประเภทนี้จึงเกิดขึ้นมีจุดมุ่งหมาย ชี้ชวน แนะนำ หรือกระตุ้นเตือนให้ผู้อื่นเกิดความรู้สึกอยากจะไปพบเห็นด้วยตนเอง สถานที่ใดที่แปลกใหม่ที่คนยังไม่กล้าที่จะไปเที่ยว ดังนั้นบทความแบบนี้จะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ที่รักการทัศนาจร | |||
๗. บทความประเภทวิชาการ เป็นบทความที่ผู้เขียนประสงค์จะให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งทางวิชาการ เช่น วิทยาศาสตร์ ปรัชญา จิตวิทยา รัฐศาสตร์ เป็นต้น | |||
๘. บทความประเภทครบรอบปี บทความประเภทนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับเหตุการณ์ พิธีการ เทศกาล หรือวันสำคัญที่ประชาชนสนใจ เมื่อโอกาสหรือเรื่องราวเหล่านั้นเวียนมาบรรจบครบรอบ เช่น | |||
๙. บทความประเภทวิจารณ์ ผู้เขียนจะต้องพิจารณาข้อเท็จจริง ลักษณะและคุณสมบัติต่างๆ ของเรื่องที่จะวิจารณ์อย่างถี่ถ้วน โดยอาศัยหลักวิชา เหตุผลหรือข้อเท็จจริงตัดสินว่าดีหรือไม่ดี ควรหรือไม่ควรอย่างไร บทความประเภทวิจารณ์นี้ แบ่งย่อยได้เป็น ๓ ประเภท คือ
|
วิธีหาเนื้อหา
ก่อนที่เขียนบทความ ผู้เขียนจำต้องสืบเสาะหาความรู้และเรื่องราวอันเป็นสาระมาเพื่อเป็นเนื้อหาแห่งการเขียน เพราะมิใช่เป็นการเขียนประเภทที่แต่ง หรือสมมติขึ้นเองได้ เราอาจหาเนื้อหาได้จากแหล่งต่างๆ ดังนี้
๑. จากการสัมภาษณ์ การซักถามสอบถามผู้รู้ |
วิธีเขียนบทความ
การเขียนบทความให้ได้ดีนั้น ถ้าผู้เขียนรู้จักวางโครงเรื่องให้ดีก็จะช่วยการเขียนได้มาก เพราะโครงเรื่องจะช่วยควบคุมการเขียน ให้เป็นไปตามแนวคิดที่ กำหนดไว้ ทั้งยังเป็นการป้องกันมิให้เขียนวกวน ซ้ำกลับไปกลับมาอีกด้วย โครงเรื่องของบทความแบ่งเป็น ๓ ตอน คือ คำนำ เนื้อเรื่อง และสรุป
๑. คำนำ เป็นการเกริ่นบอกกล่าวให้รู้ว่าจะเขียนเรื่องอะไร การขึ้นคำนำมีอยู่ ๒ แบบ คือ การกล่าวทั่วไปก่อนที่จะวกเข้าเรื่องที่จะเขียน และการกล่าว เจาะจงลงไปตรงกับหัวเรื่องที่จะเขียนเลยทีเดียวการเขียนคำนำ ต้องให้น่าอ่านชวนติดตาม เพราะผู้อ่านนิยมอ่านย่อหน้าแรกก่อน ถ้าเขียนคำนำ ต้องให้น่าอ่านชวนติดตาม |
๒. เนื้อเรื่อง แบ่งเป็น ๒ ตอน คือ ส่วนแรกเป็นการขยายความ เมื่อเกริ่นในคำนำแล้วผู้อ่านยังติดตามความคิดได้ไม่ดีพอ ก็ต้องขยายความออกไป เพื่อช่วยให้เข้าใจได้มากขึ้น ส่วนที่สองเป็นรายละเอียด มีการให้สถิติ รวบรวมข้อมูล การเปรียบเทียบหรือยกตัวอย่างประกอบ แต่ต้องระวัง อย่าให้มากเกินไปจนน่าเกลียด |
๓. สรุป เป็นส่วนที่แสดงทัศนะข้อคิดเห็นของผู้อื่น รวมทั้งให้ข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหาที่มีด้วย |
วิธีเขียนคำนำ
การเขียนคำนำเป็นตอนที่ยากที่สุด ถ้าเริ่มได้แล้วก็จะช่วยให้เรื่องดำเนินไป การเขียนคำนำจึงต้องการความประณีตมาก เพื่อเป็นเครื่องจูงใจผู้อ่าน ให้ติดตามเรื่องต่อไปจนจบ การเขียนคำนำมีหลายแบบดังนี้
๑. นำด้วยข่าว |
วิธีเขียนเนื้อเรื่อง
เนื้อเรื่องเป็นส่วนที่สำคัญและเป็นส่วนที่ยาวที่สุด รวมความคิดและข้อมูลทั้งหมด ย่อหน้าแต่ละย่อหน้าในเนื้อเรื่องจะต้องสัมพันธ์เป็นเรื่องเดียวกัน มีลำดับขั้นตอนไม่วกวนไปมา ก่อนที่จะเขียนบทความผู้เขียนจึงต้องหาข้อมูล หาความรู้ที่จะนำมาเขียนเสียก่อน การหาข้อมูลนั้นอาจได้จากการสัมภาษณ์ การสอบถามผู้รู้ การเดินทางท่องเที่ยว การอ่านหนังสื่อพิมพ์หรือหนังสื่อต่างๆ ในการเขียนเนื้อเรื่องควรคำนึงสิ่งต่างๆ ดังนี้
๑. ใช้ถ้อยคำที่ถูกต้องตามความหมาย ใช้ตัวสะกดถูกต้องตามพจนานุกรม |
๒. ใช้สำนวนโวหารให้เหมาะกับเรื่อง เช่น ใช้ถ้อยคำที่เป็นทางการ ใช้ศัพท์เฉพาะในการเขียนบทความทางวิชาการ ใช้ถ้อยคำที่ดึงเป็นภาษาปาก คำแสลง ในการเขียนบทความทั่วไป |
๓. มีข้อมูล เหตุผล สถิติและการอ้างอิงประกอบเรื่อง เพื่อให้เข้าใจง่ายและน่าเชื่อถือ |
วิธีเขียนสรุป
การเขียนบทความในส่วนสรุปหรือคำลงท้าย เป็นส่วนที่ผู้เขียนต้องการบอกให้ผู้อื่นทราบว่า ข้อมูลทั้งหมดที่เสนอมาได้จบลงแล้ว ผู้เขียนควรมีกลวิธี ที่จะทำให้ผู้อ่าน พอใจ ประทับใจ ส่วนสรุปนี้เป็นส่วนที่ฝากความคิดและปัญหาไว้กับผู้อ่านหลังจากที่อ่านแล้ว การเขียนสรุปหรือคำลงท้ายมีหลายแบบดังนี้
๑. สรุปด้วยคำถามที่ชวนให้ผู้อื่นคิดหาคำตอบ |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น